admin

PCT หรือการปรับฮอโมนส์

PCT หรือ Post Cycle Therapy พูดง่ายๆ คือการใช้ยาบางอย่างเพื่อช่วยหลังการหยุดใช้ AAS คือแน่นอนว่า AAS ไม่ ใช่ยาเสพติด แต่แน่นอนว่าตัวมันเองได้ทําการ SuppreSS หรือลดการผลิตฮอร์โมนตามธรรมชาติ การที่เราแบบหยุดไปเลยอาจจะทําให้เกิดอาการ “ฮอร์โมนเพศต่ำ” ซึ่งตามมาด้วย กล้ามหาย อารมณ์ไม่ดี อ่อนเพลีย พลังงานหมด หรรมหด ซึ่งเกิดจากการที่ระบบที่ควบคุมการผลิต testosterone มันมีความแบบ ว่ารัดกุมมากๆ ถ้าระดับฮอร์โมนมันเกิน การผลิตจะลดลง แล้วคือการใช้ยาเนี่ย ระดับฮอร์โมนมันจะเกินไปมาก ทําให้เกิดการ Suppress ซึ่งระดับของการ Suppress จะขึ้นอยู่กับ 3 ปัจจัย ตัวยาที่ใช้ ตัวยาต่างกัน ระดับของการ Suppress ไม่เท่ากัน ถ้า Tren ก็สูง, anavar, primo ก็ตามประมาณนี้ ปริมาณตัวยาที่ใช้, เยอะ = Suppress เยอะ ระยะเวลาที่ใช้, […]

PCT หรือการปรับฮอโมนส์ Read More »

HPTA(hypothalamic-pituitary-adrenal-gonaotropic axis) มันทำงานอย่างไร

HPTA HPTA(hypothalamic-pituitary-adrenal-gonaotropic axis) มันทำงานอย่างไร HPTA คือแกนไฮโปทาลามัส-ต่อมใต้สมอง-อัณฑะ ซึ่งเป็นแกนเชื่อมต่อกันของต่อมไร้ท่อในร่างกายที่ทำหน้า ที่ประมวลผลและควบคุมการผลิตฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน ที่ถูกผลิตและหมุนเวียนในร่างกายในแต่ละช่วงเวลา   HPTA ทำงานในสิ่งที่เรียกว่าวงจรป้อนกลับเชิงลบ ซึ่งร่างกายจะลดการผลิตและการหลั่งฮอร์โมนเทส โทสเตอโรนเมื่อตรวจจับได้ว่ามีฮอร์โมนเทสโทสเตอ โรนหมุนเวียนอยู่ในร่างกายมากเกินไป และจะปรับตามความเหมาะสมเมื่อตรวจจับได้ว่ามีน้อยเกินไป   การรับรู้และการปรับตัวนี้ เรียกว่า วงจรป้อนกลับเชิงลบ โดยพื้นฐานแล้วควบคุมโดยไฮโปทาลามัส ซึ่งถือเป็นต่อม “หลัก” สำหรับการทำงานของระบบต่อม ไร้ท่อและฮอร์โมนทั้งหมดในร่างกาย   วงจรป้อนกลับเชิงลบเป็นความพยายาม ของร่างกายที่จะรักษาภาวะสมดุลของฮอร์โมน ซึ่งหมายความถึงการควบคุมระบบ (ในกรณีนี้คือระบบภายในของร่างกาย) เพื่อรักษาสถานะที่เสถียรและเหมาะสมอย่างสม่ำเสมอ   ต่อมไร้ท่อทั้งหมดทำงานในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง และในระดับที่แตกต่างกันผ่านวงจรป้อนกลับเชิงลบ ในกรณีของการรักษา ปัญหาอยู่ที่วงจรป้อนกลับเชิงลบของ HPTA เป็นหลัก   สิ่งที่น่ากังวลน่าในการทำ PCT คือการรักษาความสมดล การฟื้นฟูการควบคุมฮอร์โมนทั้งห้าชนิดต่อไปนี้ HPTA (hypothalamic-pituitary-adrenal axis) GnRH (gonadotropin-releasing hormone) LH (luteinizing hormone) FSH (follicle stimulating

HPTA(hypothalamic-pituitary-adrenal-gonaotropic axis) มันทำงานอย่างไร Read More »

Clomid หรือ Nolvadex ฉันควรใช้ตัวไหน?

***นี่เป็นคำถามที่เราได้ยินบ่อย ๆ จากผู้ใช้สเตียรอยด์ครั้งแรก ประการแรก การเติม HCG ที่ดีที่สุดในโปรโตคอล PCT คือ Nolvadex (tamoxifen citrate) การศึกษาวิจัยแสดงให้เห็นว่าการใช้ HCG และ Nolvadex ร่วมกันแสดงให้เห็นถึงการทำงานร่วมกันอย่างน่าทึ่งในแง่ของ การกระตุ้นการผลิตฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนภายในร่างกาย และ Nolvadex ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิผลใน การปิดกั้นผลการลดความไวของเซลล์ Leydig ในอัณฑะที่เกิดจาก HCG ในปริมาณสูง สิ่งนี้มีความสำคัญมากเนื่องจากการหลั่ง LH น้อยเกินไปเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดการลดความไวต่อโกนาโดโทรปินได้ เช่นเดียวกับการกระตุ้นโกนาโดโทรปินมากเกินไป (HCG หรือรูปแบบอื่นๆ) ก็สามารถทำให้เกิดผลการลดความไวได้เช่นกัน ประการที่สอง Nolvadex ไม่เพียงแต่มีประสิทธิภาพมากกว่า Clomid มากในการกระตุ้นการผลิตฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนภายในร่างกายเท่านั้น แต่ยังเป็นทางเลือกที่คุ้มต้นทุนมากกว่า Clomid เองอีกด้วย การศึกษาวิจัยแสดงให้เห็นว่าการใช้ Clomid (clomiphene citrate) ในปริมาณ 150 มก. ต่อวันทำให้ระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนในร่างกาย ของผู้ชายสุขภาพดีจำนวน 10 คน เพิ่มขึ้นประมาณ 150% และนอกจากนี้

Clomid หรือ Nolvadex ฉันควรใช้ตัวไหน? Read More »

Post-Cycle Therapy (PCT) สำคัญอย่างไรเมื่อใช้ SARMs และสเตียรอยด์

Post-Cycle Therapy (PCT) เป็นขั้นตอนที่สำคัญหลังการใช้ SARMs (Selective Androgen Receptor Modulators) หรือ สเตียรอยด์ เพื่อช่วยฟื้นฟูการผลิตฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนตามธรรมชาติของร่างกาย ซึ่งมักจะถูกยับยั้งในระหว่างการใช้สารเหล่านี้ การทำ PCT เป็นการป้องกันภาวะแทรกซ้อนและการสูญเสียผลลัพธ์ที่ได้จากการสร้างกล้ามเนื้อ ทำไม PCT ถึงสำคัญ? เมื่อคุณใช้ SARMs หรือสเตียรอยด์ในระยะเวลานาน ฮอร์โมนแอนโดรเจน (โดยเฉพาะเทสโทสเตอโรน) ในร่างกายจะถูกยับยั้ง เพราะร่างกายรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องผลิตฮอร์โมนนี้เอง เนื่องจากได้รับจากแหล่งภายนอกอยู่แล้ว ดังนั้น เมื่อคุณหยุดใช้ SARMs หรือสเตียรอยด์ ร่างกายจะต้องการเวลาในการฟื้นฟูการผลิตฮอร์โมนธรรมชาติ หากไม่มีการทำ PCT อาจเกิดผลข้างเคียงดังนี้: 1. การสูญเสียกล้ามเนื้อ: การยับยั้งฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนอาจทำให้การฟื้นฟูกล้ามเนื้อลดลง และกล้ามเนื้อที่สร้างขึ้นอาจสูญเสียไป 2. ฮอร์โมนไม่สมดุล: การหยุดใช้ SARMs หรือสเตียรอยด์กะทันหันโดยไม่มี PCT อาจทำให้ระดับฮอร์โมนไม่สมดุล ซึ่งนำไปสู่ภาวะฮอร์โมนต่ำ (Low Testosterone) หรือภาวะเอสโตรเจนสูง 3. ความรู้สึกซึมเศร้าและเหนื่อยล้า: ระดับเทสโทสเตอโรนที่ต่ำอาจส่งผลกระทบต่ออารมณ์ ความรู้สึกมีพลังงาน และความมั่นใจ

Post-Cycle Therapy (PCT) สำคัญอย่างไรเมื่อใช้ SARMs และสเตียรอยด์ Read More »

Samarin 140

Samarin 140 เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบหลักคือสารสกัดจาก Milk Thistle (Silymarin) ในปริมาณ 140 มิลลิกรัมต่อเม็ด ซึ่งมีสรรพคุณในการบำรุงและปกป้องตับ โดยเฉพาะจากการถูกทำลายด้วยแอลกอฮอล์ สารพิษ และยาบางชนิด ข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับ Samarin 140 1. ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อการบำรุงตับอันดับหนึ่ง Samarin 140 มีสารสกัดจาก Milk Thistle (Silymarin) ซึ่งเป็นสมุนไพรที่ได้รับการวิจัยอย่างกว้างขวางว่าเป็นหนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการปกป้องและบำรุงตับ ช่วยขับสารพิษออกจากตับและซ่อมแซมเซลล์ตับที่ถูกทำลาย 2. ป้องกันและฟื้นฟูตับจากแอลกอฮอล์และสารพิษ หากคุณเป็นคนที่ชอบดื่มแอลกอฮอล์บ่อยครั้ง หรือใช้ยาที่อาจส่งผลเสียต่อตับ เช่น ยาแก้ปวดหรือยาปฏิชีวนะ Samarin 140 จะช่วยฟื้นฟูตับและลดการสะสมของสารพิษในตับ ช่วยให้ตับทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น 3. ช่วยป้องกันโรคไขมันพอกตับและตับอักเสบ Samarin 140 สามารถช่วยลดความเสี่ยงของโรคไขมันพอกตับและตับอักเสบ ซึ่งเกิดจากการบริโภคไขมันและแอลกอฮอล์มากเกินไป เป็นตัวช่วยสำคัญในการรักษาสุขภาพตับในระยะยาว 4. สนับสนุนการทำงานของระบบน้ำดี นอกจากการบำรุงตับแล้ว Samarin 140 ยังช่วยให้ระบบน้ำดีทำงานได้ดีขึ้น ซึ่งมีส่วนสำคัญในการขับของเสียออกจากร่างกายและช่วยในการย่อยอาหาร 5. ปลอดภัยและผ่านมาตรฐานสากล ผลิตภัณฑ์ได้รับการรับรองมาตรฐาน GMP และมีการทดสอบความปลอดภัยเพื่อให้มั่นใจว่าผู้ใช้สามารถใช้ได้โดยไม่มีผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย

Samarin 140 Read More »

TUDCA

TUDCA (Tauroursodeoxycholic Acid) TUDCA (Tauroursodeoxycholic Acid) มีการใช้อย่างแพร่หลายในการบำรุงและรักษาตับ ซึ่งปริมาณและระยะเวลาการใช้ที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายและวัตถุประสงค์การใช้งาน โดยปกติแล้ว มีแนวทางการใช้ดังนี้: ปริมาณการใช้: 1-2 Capsules a day ปริมาณที่แนะนำ: สำหรับการบำรุงรักษาตับทั่วไป: 250-500 มก. ต่อวัน สำหรับผู้ที่มีปัญหาการทำงานของตับหรือเพื่อการรักษา: 750-1,500 มก. ต่อวัน การแบ่งรับประทาน: ควรแบ่งรับประทานเป็น 2-3 ครั้งต่อวัน พร้อมอาหาร เพื่อเพิ่มการดูดซึมและลดผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น ระยะเวลาการใช้: การใช้ระยะสั้น: หากใช้เพื่อบำรุงตับทั่วไปหรือบรรเทาอาการ สามารถใช้ต่อเนื่องได้ประมาณ 4-8 สัปดาห์ การใช้ระยะยาว: ในบางกรณีที่จำเป็น เช่น มีปัญหาตับจากสารพิษ การใช้ในระยะยาวอาจเป็นไปได้ แต่ควรหยุดพักการใช้ทุก ๆ 8-12 สัปดาห์ เพื่อตรวจสอบผลการทำงานของตับ สำหรับผู้ที่ใช้เป็นเวลานาน ควรปรึกษาแพทย์เป็นระยะเพื่อตรวจสุขภาพและการทำงานของตับ   หมายเหตุ: ควรเริ่มต้นจากปริมาณต่ำและค่อย ๆ ปรับเพิ่ม เพื่อให้ร่างกายปรับตัว การใช้

TUDCA Read More »

โปรแลคติน (Prolactin)

โปรแลคติน (Prolactin) เป็นฮอร์โมนที่ถูกผลิตโดยต่อมใต้สมอง (pituitary gland) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการสร้างน้ำนมในผู้หญิงหลังการคลอดบุตร อย่างไรก็ตาม โปรแลคตินมีอยู่ในทั้งชายและหญิง โดยมีระดับต่ำในผู้ชาย แต่ในกรณีที่ระดับโปรแลคตินสูงผิดปกติ มักจะทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ลดความต้องการทางเพศ, การผลิตสเปิร์มลดลง และอาจทำให้เกิดภาวะมีบุตรยากในผู้ชาย ความเกี่ยวข้องระหว่างโปรแลคตินกับการใช้สเตียรอยด์: การใช้ สเตียรอยด์ โดยเฉพาะสเตียรอยด์บางชนิดเช่น Nandrolone (Deca-Durabolin) และ Trenbolone สามารถทำให้ระดับโปรแลคตินเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงหลายประการ เนื่องจากสเตียรอยด์เหล่านี้มีคุณสมบัติที่สามารถแปลงเป็นเอสโตรเจนหรือมีผลกระทบต่อระบบฮอร์โมนอื่นๆ ในร่างกายได้ ผลของโปรแลคตินสูงจากการใช้สเตียรอยด์: 1. เต้านมโตในผู้ชาย (Gynecomastia): เมื่อโปรแลคตินและเอสโตรเจนเพิ่มขึ้น จะกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาของเต้านมในผู้ชาย ซึ่งเป็นภาวะที่พบได้บ่อยในผู้ที่ใช้สเตียรอยด์บางชนิด 2. สมรรถภาพทางเพศลดลง: โปรแลคตินสูงอาจทำให้เกิดการลดความต้องการทางเพศและอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ (erectile dysfunction) เนื่องจากโปรแลคตินมีบทบาทในการควบคุมการทำงานของฮอร์โมนเพศชาย (Testosterone) 3. ภาวะมีบุตรยาก: โปรแลคตินสูงสามารถยับยั้งการผลิตสเปิร์ม ทำให้เกิดภาวะมีบุตรยากในผู้ชาย เนื่องจากโปรแลคตินมีผลต่อการทำงานของระบบสืบพันธุ์ ทำไมสเตียรอยด์ถึงเพิ่มโปรแลคติน? สเตียรอยด์บางชนิด เช่น Nandrolone และ Trenbolone อาจกระตุ้นการผลิตโปรแลคตินในร่างกายโดย: ผลจากการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนเอสโตรเจน: เมื่อใช้สเตียรอยด์บางชนิด

โปรแลคติน (Prolactin) Read More »

ความแตกต่างระหว่าง Steroids กับ SARMs: อะไรปลอดภัยกว่า?

ความแตกต่างระหว่าง Steroids กับ SARMs: อะไรปลอดภัยกว่า? Steroids (สเตียรอยด์) และ SARMs (Selective Androgen Receptor Modulators) เป็นสารที่ใช้เพื่อเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ ความแข็งแรง และประสิทธิภาพในการออกกำลังกาย แต่ทั้งสองประเภทนี้มีวิธีการทำงาน ข้อดี และผลข้างเคียงที่แตกต่างกันอย่างมาก การเปรียบเทียบระหว่างทั้งสองจะช่วยให้เข้าใจถึงความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการใช้งาน 1. วิธีการทำงาน Steroids: สเตียรอยด์เป็นสารสังเคราะห์ที่มีโครงสร้างคล้ายกับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน (Testosterone) ฮอร์โมนเพศชายตามธรรมชาติ เมื่อเข้าสู่ร่างกาย สเตียรอยด์จะทำงานโดยการจับกับตัวรับแอนโดรเจนในเซลล์ทั่วร่างกาย รวมถึงกล้ามเนื้อ กระดูก ผิวหนัง และอวัยวะอื่น ๆ นี่ทำให้สเตียรอยด์สามารถสร้างกล้ามเนื้อได้อย่างรวดเร็วและเพิ่มความแข็งแรงอย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากสเตียรอยด์ทำงานทั่วทั้งร่างกาย มันไม่เพียงกระตุ้นการสร้างกล้ามเนื้อเท่านั้น แต่ยังสามารถทำให้เกิดผลข้างเคียงในอวัยวะและระบบต่าง ๆ ที่มีตัวรับแอนโดรเจน เช่น ตับ ไต และระบบสืบพันธุ์ ทำให้เกิดความเสี่ยงสูงต่อผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ SARMs: SARMs เป็นสารที่ทำงานคล้ายกับสเตียรอยด์ แต่มีความจำเพาะเจาะจงมากกว่าในการจับกับตัวรับแอนโดรเจนที่อยู่ในกล้ามเนื้อและกระดูกเท่านั้น โดยไม่กระทบต่ออวัยวะอื่น ๆ เช่น ตับและระบบสืบพันธุ์ ทำให้ SARMs

ความแตกต่างระหว่าง Steroids กับ SARMs: อะไรปลอดภัยกว่า? Read More »

Clenbuterol กับ SARMs: อะไรดีกว่าสำหรับการลดไขมัน?

Clenbuterol กับ SARMs: อะไรดีกว่าสำหรับการลดไขมัน? Clenbuterol และ SARMs (Selective Androgen Receptor Modulators) เป็นสองประเภทของสารที่ถูกใช้อย่างแพร่หลายในวงการฟิตเนสเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อและช่วยในการลดไขมัน แต่ทั้งสองมีคุณสมบัติและผลข้างเคียงที่แตกต่างกัน ดังนั้นจึงควรพิจารณาว่าจะเลือกใช้แบบไหนขึ้นอยู่กับเป้าหมายและสถานการณ์ของแต่ละคน Clenbuterol คืออะไร? Clenbuterol (หรือเรียกสั้น ๆ ว่า Clen) ไม่ใช่สเตียรอยด์ แต่เป็นยากระตุ้นที่อยู่ในกลุ่ม Beta-2 Agonist ซึ่งทำหน้าที่ขยายหลอดลมเพื่อช่วยในการหายใจ แต่อีกประโยชน์หนึ่งคือมันสามารถเพิ่มอัตราการเผาผลาญและการเผาผลาญไขมันได้ดี ทำให้ Clenbuterol ได้รับความนิยมในวงการฟิตเนสเพื่อลดไขมันอย่างรวดเร็ว ประโยชน์ของ Clenbuterol ในการลดไขมัน: 1. เพิ่มการเผาผลาญพลังงาน (Thermogenesis): Clen ช่วยเพิ่มอุณหภูมิของร่างกายเล็กน้อย ซึ่งทำให้ร่างกายเผาผลาญแคลอรีได้มากขึ้นแม้ในช่วงพัก 2. ลดไขมันได้เร็ว: Clen ช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญไขมันและช่วยรักษามวลกล้ามเนื้อในขณะที่อยู่ในภาวะขาดพลังงาน (Caloric Deficit) 3. เพิ่มพลังงานและความทนทาน: Clenbuterol ทำให้รู้สึกมีพลังและสามารถออกกำลังกายได้นานขึ้น ผลข้างเคียงของ Clenbuterol: หัวใจเต้นเร็วเกินไป (Tachycardia) ความดันโลหิตสูง อาการมือสั่น

Clenbuterol กับ SARMs: อะไรดีกว่าสำหรับการลดไขมัน? Read More »

SARMs เพิ่มกล้ามเนื้อ/ลดไขมัน/เพิ่มความทนทาน

การเรียงลำดับความสำคัญของสารในกลุ่ม SARMs และสารที่มีคุณสมบัติอื่น ๆ ขึ้นอยู่กับเป้าหมายเฉพาะของคุณ เช่น การเพิ่มกล้ามเนื้อ, การลดไขมัน, หรือการเพิ่มพลังงานและความทนทาน ดังนี้คือคำแนะนำในการเรียงลำดับความสำคัญตามเป้าหมายที่แตกต่างกัน: 1. เป้าหมาย: เพิ่มกล้ามเนื้อ RAD-140 (Testolone): เป็นหนึ่งใน SARMs ที่ทรงพลังที่สุดในการเพิ่มกล้ามเนื้อและความแข็งแรง MK-677 (Ibutamoren): ช่วยเพิ่มระดับ Growth Hormone ซึ่งช่วยในการเจริญเติบโตของกล้ามเนื้อและการฟื้นฟู MK-2866 (Ostarine): ดีสำหรับการเพิ่มกล้ามเนื้อเล็กน้อยและการคงมวลกล้ามเนื้อในขณะที่ลดไขมัน S4 (Andarine): ช่วยให้มีความกระชับและความทนทานในการออกกำลังกาย GW-501516 (Cardarine): เน้นการเพิ่มความทนทานและลดไขมันมากกว่าการเพิ่มกล้ามเนื้อ 2. เป้าหมาย: ลดไขมัน GW-501516 (Cardarine): ดีที่สุดสำหรับการเผาผลาญไขมันและเพิ่มความทนทานทางกายภาพ RAD-140: ช่วยเผาผลาญไขมันและเพิ่มกล้ามเนื้อไปพร้อมกัน S4: ช่วยลดไขมันและเพิ่มความกระชับ MK-2866: สามารถช่วยคงมวลกล้ามเนื้อขณะที่ลดไขมันได้ MK-677: ไม่ได้มุ่งเน้นการเผาผลาญไขมันโดยตรง แต่สามารถช่วยในเรื่องการฟื้นตัว 3. เป้าหมาย: เพิ่มความทนทานและพลังงาน GW-501516: เพิ่มพลังงานและความทนทานได้อย่างชัดเจน MK-677: ช่วยเพิ่มพลังงานและการฟื้นตัวเนื่องจากการเพิ่มระดับ

SARMs เพิ่มกล้ามเนื้อ/ลดไขมัน/เพิ่มความทนทาน Read More »

หน้าหลัก
List สินค้า
บทความ
Q&As
Scroll to Top