ARIMIDEX Anastrozole 1mg
Post-Cycle Therapy (PCT) สำคัญอย่างไรเมื่อใช้ SARMs และสเตียรอยด์
Post-Cycle Therapy (PCT) เป็นขั้นตอนที่สำคัญหลังการใช้ SARMs (Selective Androgen Receptor Modulators) หรือ สเตียรอยด์ เพื่อช่วยฟื้นฟูการผลิตฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนตามธรรมชาติของร่างกาย ซึ่งมักจะถูกยับยั้งในระหว่างการใช้สารเหล่านี้ การทำ PCT เป็นการป้องกันภาวะแทรกซ้อนและการสูญเสียผลลัพธ์ที่ได้จากการสร้างกล้ามเนื้อ
ทำไม PCT ถึงสำคัญ?
เมื่อคุณใช้ SARMs หรือสเตียรอยด์ในระยะเวลานาน ฮอร์โมนแอนโดรเจน (โดยเฉพาะเทสโทสเตอโรน) ในร่างกายจะถูกยับยั้ง เพราะร่างกายรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องผลิตฮอร์โมนนี้เอง เนื่องจากได้รับจากแหล่งภายนอกอยู่แล้ว ดังนั้น เมื่อคุณหยุดใช้ SARMs หรือสเตียรอยด์ ร่างกายจะต้องการเวลาในการฟื้นฟูการผลิตฮอร์โมนธรรมชาติ หากไม่มีการทำ PCT อาจเกิดผลข้างเคียงดังนี้:
1. การสูญเสียกล้ามเนื้อ: การยับยั้งฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนอาจทำให้การฟื้นฟูกล้ามเนื้อลดลง และกล้ามเนื้อที่สร้างขึ้นอาจสูญเสียไป
2. ฮอร์โมนไม่สมดุล: การหยุดใช้ SARMs หรือสเตียรอยด์กะทันหันโดยไม่มี PCT อาจทำให้ระดับฮอร์โมนไม่สมดุล ซึ่งนำไปสู่ภาวะฮอร์โมนต่ำ (Low Testosterone) หรือภาวะเอสโตรเจนสูง
3. ความรู้สึกซึมเศร้าและเหนื่อยล้า: ระดับเทสโทสเตอโรนที่ต่ำอาจส่งผลกระทบต่ออารมณ์ ความรู้สึกมีพลังงาน และความมั่นใจ
การทำงานของ PCT
PCT มีเป้าหมายหลัก 3 ประการ:
1. ฟื้นฟูการผลิตฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนตามธรรมชาติ: หลังจากการยับยั้งฮอร์โมนที่เกิดจากการใช้ SARMs หรือสเตียรอยด์ PCT ช่วยกระตุ้นการผลิตฮอร์โมนตามธรรมชาติของร่างกาย
2. ป้องกันการฟื้นฟูของเอสโตรเจนที่สูงเกินไป: เมื่อหยุดใช้ SARMs หรือสเตียรอยด์ ระดับเอสโตรเจนในร่างกายอาจเพิ่มขึ้น ดังนั้น PCT จะช่วยควบคุมการเพิ่มขึ้นนี้
3. ป้องกันการสูญเสียกล้ามเนื้อ: การใช้ PCT ช่วยรักษาผลลัพธ์จากการสร้างกล้ามเนื้อที่ได้จากการใช้ SARMs หรือสเตียรอยด์
การเลือก PCT ที่เหมาะสม
PCT มีหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับประเภทของ SARMs หรือสเตียรอยด์ที่คุณใช้ ระยะเวลาการใช้งาน และผลกระทบที่เกิดขึ้นในระหว่างการใช้ ต่อไปนี้คือส่วนประกอบสำคัญที่ใช้ใน PCT:
1. SERMs (Selective Estrogen Receptor Modulators):
Clomid (Clomiphene citrate): ใช้ในการฟื้นฟูการผลิตเทสโทสเตอโรนในร่างกายและควบคุมระดับเอสโตรเจน Clomid เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่นิยมใช้ใน PCT
Nolvadex (Tamoxifen): อีกตัวเลือกหนึ่งที่ใช้ควบคุมการผลิตเอสโตรเจนและเพิ่มระดับเทสโทสเตอโรน
2. Aromatase Inhibitors (AIs):
Arimidex (Anastrozole): ใช้ในการลดระดับเอสโตรเจนที่อาจเพิ่มขึ้นหลังจากการใช้สเตียรอยด์หรือ SARMs
Letrozole: อีกทางเลือกที่ใช้เพื่อลดระดับเอสโตรเจน และยังป้องกันภาวะเอสโตรเจนเกินที่อาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น การเติบโตของเนื้อเยื่อเต้านมในผู้ชาย (Gynecomastia)
3. ฮอร์โมนเสริมอื่นๆ:
HCG (Human Chorionic Gonadotropin): ใช้ในการกระตุ้นการผลิตฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนโดยตรง โดยเฉพาะในกรณีที่ร่างกายถูกยับยั้งการผลิตฮอร์โมนอย่างรุนแรงจากการใช้สเตียรอยด์
แนวทางการใช้ PCT
ระยะเวลาและปริมาณการใช้ PCT จะขึ้นอยู่กับชนิดของ SARMs หรือสเตียรอยด์ที่คุณใช้ ต่อไปนี้เป็นแนวทางทั่วไปสำหรับการทำ PCT:
1. ระยะเวลาของ PCT: PCT ควรเริ่มภายใน 1-2 สัปดาห์หลังจากหยุดใช้ SARMs หรือสเตียรอยด์ และควรใช้ต่อเนื่องกันประมาณ 4-6 สัปดาห์ เพื่อให้ร่างกายมีเวลาในการฟื้นฟู
2. การใช้งาน SERMs และ AIs: การใช้ Clomid หรือ Nolvadex ใน PCT นั้นขึ้นอยู่กับระดับการยับยั้งฮอร์โมนจากการใช้ SARMs หรือสเตียรอยด์ คุณอาจต้องใช้ AIs ร่วมด้วยในกรณีที่ระดับเอสโตรเจนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
3. ติดตามผล: ควรทำการตรวจสุขภาพและตรวจระดับฮอร์โมนเป็นระยะๆ เพื่อให้แน่ใจว่าร่างกายฟื้นฟูสมดุลของฮอร์โมนได้ตามปกติ
ข้อสรุป:
การทำ PCT มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ใช้ SARMs หรือสเตียรอยด์ เพื่อฟื้นฟูระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนและควบคุมระดับเอสโตรเจน
การไม่ทำ PCT อาจทำให้เกิดภาวะสูญเสียกล้ามเนื้อ ผลข้างเคียงจากระดับฮอร์โมนไม่สมดุล และความเสี่ยงต่อสุขภาพในระยะยาว
ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือแพทย์ก่อนเริ่ม PCT เพื่อให้มั่นใจว่าสามารถเลือกแนวทางที่เหมาะสมกับร่างกายของคุณ
PCT หรือการปรับฮอโมนส์
PCT หรือ Post Cycle Therapy พูดง่ายๆ คือการใช้ยาบางอย่างเพื่อช่วยหลังการหยุดใช้ AAS คือแน่นอนว่า AAS ไม่ ใช่ยาเสพติด แต่แน่นอนว่าตัวมันเองได้ทําการ SuppreSS หรือลดการผลิตฮอร์โมนตามธรรมชาติ การที่เราแบบหยุดไปเลยอาจจะทําให้เกิดอาการ “ฮอร์โมนเพศต่ำ” ซึ่งตามมาด้วย กล้ามหาย อารมณ์ไม่ดี อ่อนเพลีย พลังงานหมด หรรมหด ซึ่งเกิดจากการที่ระบบที่ควบคุมการผลิต testosterone มันมีความแบบ ว่ารัดกุมมากๆ ถ้าระดับฮอร์โมนมันเกิน การผลิตจะลดลง แล้วคือการใช้ยาเนี่ย ระดับฮอร์โมนมันจะเกินไปมาก ทําให้เกิดการ Suppress ซึ่งระดับของการ Suppress จะขึ้นอยู่กับ 3 ปัจจัย
- ตัวยาที่ใช้ ตัวยาต่างกัน ระดับของการ Suppress ไม่เท่ากัน ถ้า Tren ก็สูง, anavar, primo ก็ตามประมาณนี้
- ปริมาณตัวยาที่ใช้, เยอะ = Suppress เยอะ
- ระยะเวลาที่ใช้, นาน = Suppress มาก
นอกจากนี้ ปริมาณ estrogen, prolactin ก็ส่งผลต่อการ Suppress ด้วย แต่อย่างเพิ่งตกใจ จากการศึกษาพบว่าการใช้ยานั้น “ไม่ทําให้เป็นหมัน” การ Suppress มันเป็นแค่อาการชั่วคราวซึ่งควรจะหายไปเองในระยะเวลาไม่กี่เดือนไปจนถึงหลายๆ เดือน แต่ปัญหาคือช่วงนั้นฮอร์โมต่ำไง ร่างกายมันไม่ดีแน่ๆ การ PCT เลยถูกคิดขึ้นมาเพื่อให้มันมาไว มีการศึกษาชิ้นนึ่งคือออน Test e 250 mg/week เป็นเวลา 21 week แล้วมันก็มีการวัดค่าต่างๆ หลักๆ พบว่า พอหยุดยา สมองจะไวคือ GnrH, LH จะมาก่อน แต่ testosterone จะยังไม่ขึ้นเพราะว่าตัวไข่มันไม่สามารถ response ได้ ทัน (ตอนใช้ยาไข่มักจะหด) พอไข่มันยังไม่คืนขนาด มันจะรับ Workload ไม่ไหว แต่ก็นั่นแหละ ร่างกายเราแก้เองได้ แต่ก็จะดีกว่าถ้าเราทํา PCT ให้ครบๆ ซึ่งมันจะมีตัวยา อยู่ 3 ตัว ที่ใช้กันหลักๆ คือ
- HCG (ฮอร์โมน LH ที่ถูกสังเคราะห์ขึ้นมา) อย่างที่เคยกล่าวไว้มันก็คือการเลียนแบบ LH ซึ่งมันก็จะมาช่วยเพิ่ม LOAD การทํางานของไข่ ทําให้มันกลับมาได้ขนาดที่ไวกว่าเดิม
- Nolvadex, Clomid (Anti Estrogen) อย่างที่กล่าวไปว่า estrogen มันเป็นตัวยับยั้งการผลิต testosterone การใช้ anti estrogen จะช่วยเพิ่มการหลั่งของ GnrH ซึ่งส่งผลต่อ LH และ testosterone นอกจากนี้ยังช่วยลด GYNO ซึ่งได้แถมมาจากการใช้ยา (จริงๆ GYNO สามารถเกิดได้จากความไม่บาลานซ์ของสัดส่วน Androgen/Estrogen ก็ได้นะ ไม่ได้เกิดจากการใช้ยาที่ทําให้ estrogen สูงอย่างเดียวซึ่งก็จะตอบคําถามว่าทําไมถึงเจ็บนมหลังหยุดยา) ถ้าเทียบ HCG กับ anti estrogen โดนไม่พูดถึงผลข้างเคียง HCG มันจะดูไวกว่า เพราะมันคือการอัด LH ลงไปตรงๆแต่ก็ต้องระวังเพราะถ้าใช้เยอะเกินไปมันจะทําให้ไข่ไม่ตอบสนองต่อ LH ซึ่งจะทําให้การกลับมานั้นยิ่งช้าลงไปอีก แล้ว HCG ทําให้ estrogen สูงขึ้นได้ ซึ่งนําไปสู่ผลข้างเคียงที่มากขึ้น นี่เป็นโปรแกรม PCT ที่ถูกสร้างขึ้นโดย Dr. Micharl Scully ซึ่งผ่านการศึกษาจากผู้ที่ใช้ Test + Deca ในโดสสูงมากเป็นเวลา 3 เดือนแล้วพบว่าผู้ใช้ยาทั้งหมด 19 คน กลับมาผลิตฮอร์โมนได้เป็นปกติหลังหยุดใช้ยา
ตัวยาที่ใช้มี
- HCG 20,000iu (2,000iu วันเว้นวัน)
- Clomiphene Citrate 100 mg 30 วัน
- Tamoxifen Citrate 40 mg 45 วัน จริงๆ เจอหมดนี่ถึงปาดเหงื่อเลย ใช้เงินเยอะ
แต่อย่าเพิ่งตกใจ จากประสบการณ์และการพูดคุย พบว่า คนส่วนมากจะใช้แค่ anti estrogen ไม่ก็ HCG ซึ่งคนพวกนี้ก็ยืนยันว่าไม่ได้มีปัญหาอะไร ก็หรรมแข็งดีปกติ แล้วถ้าสรุปหลักการของการ PCT คือ มันก็คือแค่เราต้องการจะการจะดึง testes (ไข่) ให้กลับมาเท่าเดิม ซึ่งเอาง่ายๆ anti estrogen = block estrogen ทําให้ LH ขึ้น LH มากระตุ้นไข่ HCG = เข้าไปกระตุ้นโดยตรง ซึ่งถ้าตอนนี้ใครใช้ยามาได้สักพักลองล้วงไข่ตัวเองดู แล้วหันไปล้วนคนข้างๆ ที่ธรรมชาติ เอ้ยไม่ใช่ 555 ถ้ารู้ว่าไข่มันเล็กลงคือการบอกว่ามันถูก suppress การที่จะให้มันกลับมาคือหยุดยาแล้วทําให้ LH ขึ้น ซึ่งก็ทําได้จากการใช้ anti estrogen หรือ HCG ดังนั้นเลยขอสรุปเป็นการส่วนตัวว่า
- ถ้างบไม่จํากัดใช้ตามโปรแกรมข้างบนเลย
- ถ้างบจํากัด แต่พอมีตั้งก็ HCG + Nolvadex (nolvadex มีความแรงมากกว่า ราคาถูกกว่า clomid)
- งบน้อยลงมาอีกก็ nolvadex + clomid
- งบจํากัดสุดๆ ก็ Nolvadex อย่างเดียว ก็ลองเลือกดู แต่ไม่แนะนําให้ใช้ HCG อย่างเดียว
เพราะตัวมันเองไม่ได้ช่วยเรื่องการ anti estrogen แล้วยังเพิ่ม estrogen อีกด้วย อาจจะทําให้ฮอร์โมนป่วนและมีผลข้างเคียงมากขึ้นไปอีก มีหลายมาบอกว่า ออนหนักมา แล้วโคชบอกใช้ HCG ยิงเลย 5000iน ทีเดียว แม่งเอ๊ย อีกวันนึงสิวขึ้นเต็มหลัง แล้วถ้าจะพูดให้รอบด้าน ก็ต้องบอกว่าการ PCT ไม่ใช่ว่าจะแฮปปี้นะ ช่วง PCT เป็นช่วงที่เรียกได้ว่าลําบากทีเดียวเพราะอาจจะเกิดอาการดังต่อไปนี้
- แรงตก กล้ามลด ในบางคน << ใช้ Peptide,HGH,Sarmช่วยได้ แต่ไม่ควรใช้ AAS ทุกตัวยกเว้น Proviron
- อารมณ์ << แก้เอาเอง
- สิว << ใช้สบู่ดีๆ แก้ได้ ยังไม่ต้อง acnotin
- หรรมไม่สู้ศึก << proviron ช่วยคุณได้ เอาง่ายๆ อาการจะคล้ายๆ
ผู้หญิงเป็นประจําเดือนเพราะฮอร์โมนไม่นิ่ง ซึ่งก็ตอบคําถามที่ว่าทําไมสิวแม่งขึ้นตอน PCT แต่แน่นอนว่าคนเรามีทางเลือก ถ้าไม่อยาก PCT ก็มีตัวเลือกอีก 3 ตัว
- ออนตลอดปีตลอดชาติไม่มีวันหยุด อันนี้รู้ๆ กันอยู่ แต่อย่าลืมไปตรวจร่างกายบ้างเด้อ
- blast and cruise คือออนตลอดเหมือนกัน แต่มีช่วงออนหนักสลับเบาเพื่อพักร่างกาย แต่หยุดยาอาจจะงานเข้า
- blast and cruise + TRT คือทํา PCT ในช่วง cruise ออนหนัก พอหนักเสร็จก็มาเบา ช่วงเบาอาจจะใช้แค่เทสโดสน้อยๆ เพื่อกันกล้ามหาย แล้ว TRT ไปด้วย อันนี้เป็นเทคนิคใหม่ จะเรียกว่า TRT เหมือนกับว่ากระตุ้นไข่ไม่ให้หดแบบจัดหนักมากกว่า
จะทํายังไงก็แล้วแต่ แต่โดยส่วนตัวก็ยังอยากแนะนําให้ PCT อยู่ดี พักก็พักไปเลย เพราะอะไรที่อยู่ในร่างกายเรามองไม่เห็น จริงอยู่ว่า AAS เป็นยาที่จัดได้ว่าอยู่ในคลาสที่ปลอดภัยที่สุด fatal overdose ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ (พาราได้นะ กรอกปากนี่ถึงกับตาย) แต่การ Overdose หนักๆ นานๆ สามารถเร่งการเกิดขึ้นของโรคเกี่ยวกับระบบ Cardiovascular ได้ เราก็ควรจะ play safe นะ คือปลอดภัยไว้ก่อน แข่งชนะไปได้ตังไม่กี่บาท ทําอะไรให้พอดีๆ น่าจะดีกว่า
อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่คําแนะนําจากแพทย์ เป็นแค่มุมมองของคนหนึ่งสนใจเรื่องเหล่านี้ ผู้อ่านควรจะศึกษาและตัดสินใจด้วยตนเองหรือด้วยความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ
PCT คืออะไร และใช้อย่างไร?
การฟื้นฟูฮอร์โมนหลังไซเคิ้ล การฟื้นฟูหลังการใช้ยา (PCT) อาจเป็นประเด็นที่สำคัญที่สุดของการใช้สเตียรอยด์อนาโบลิก กลไกที่สเตียรอยด์อนาโบลิกส่งผลต่อร่างกายยังไม่เข้าใจ อย่างสมบูรณ์ ดังนั้น แนวคิดเรื่อง PCT จึงไม่มีอยู่ก่อนช่วงปลายทศวรรษปี 1980 และต้นทศวรรษปี 1990 นี่เป็นช่วงเวลาที่แพทย์ นักวิทยาศาสตร์ และผู้ใช้สเตียรอยด์อนาโบลิกเพิ่งเริ่มเรียนรู้เกี่ยวกับ กลไกของสเตียรอยด์อนาโบลิกและผลกระทบต่อระบบต่อมไร้ท่อ
ตั้งแต่ช่วงเริ่มแรกของการใช้สเตียรอยด์อนาโบลิก เป็นที่เข้าใจกันว่า การให้สเตียรอยด์อนาโบลิกจาก ภายนอกจะกระตุ้นวงจรป้อนกลับเชิงลบในแกนไฮโปทาลามัส- ต่อมใต้สมอง-อัณฑะ (HPTA) ของร่างกาย ส่งผลให้การผลิตฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนในร่างกาย ถูกระงับหรือหยุดลง
ด้วยความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับวิธีการฟื้นฟู HPTA ของร่างกายและระบบฮอร์โมนอย่างถูกต้องและ มีประสิทธิภาพผ่านการบำบัดหลังการรักษา (PCT) บุคคลนั้นไม่เพียงแต่จะเลิกใช้สเตียรอยด์อนาโบลิกได้ ในขณะที่ยังคงกล้ามเนื้อไว้ได้เกือบทั้งหมดเท่านั้น แต่ยังเพิ่มโอกาสที่จะเลิกใช้โดยมีระบบต่อมไร้ท่อที่ทำงาน ได้อย่างเต็มที่และ HPTA ที่มีสุขภาพดีเป็นมากกว่า 90% อีกด้วย
PCT ที่เหมาะสมควรมีลักษณะดังนี้
4 – 6 สัปดาห์ เวลา PCT ทั้งหมด (ขึ้นอยู่กับความสามารถในการฟื้นตัวของแต่ละบุคคล)
1-2สัปดาห์
- HCG 1000iu / ทุกวันเว้นวัน
- Aromasin (Exemestane) 25 มก./วัน
- Nolvadex (tamoxifen citrate) 40 มก./วัน
2-6สัปดาห์
- Nolvadex (tamoxifen citrate) 20 มก./วัน
HPTA
HPTA(hypothalamic-pituitary-adrenal-gonaotropic axis) มันทำงานอย่างไร
HPTA คือแกนไฮโปทาลามัส-ต่อมใต้สมอง-อัณฑะ ซึ่งเป็นแกนเชื่อมต่อกันของต่อมไร้ท่อในร่างกายที่ทำหน้า ที่ประมวลผลและควบคุมการผลิตฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน ที่ถูกผลิตและหมุนเวียนในร่างกายในแต่ละช่วงเวลา
HPTA ทำงานในสิ่งที่เรียกว่าวงจรป้อนกลับเชิงลบ ซึ่งร่างกายจะลดการผลิตและการหลั่งฮอร์โมนเทส โทสเตอโรนเมื่อตรวจจับได้ว่ามีฮอร์โมนเทสโทสเตอ โรนหมุนเวียนอยู่ในร่างกายมากเกินไป และจะปรับตามความเหมาะสมเมื่อตรวจจับได้ว่ามีน้อยเกินไป
การรับรู้และการปรับตัวนี้ เรียกว่า วงจรป้อนกลับเชิงลบ โดยพื้นฐานแล้วควบคุมโดยไฮโปทาลามัส ซึ่งถือเป็นต่อม “หลัก” สำหรับการทำงานของระบบต่อม ไร้ท่อและฮอร์โมนทั้งหมดในร่างกาย
วงจรป้อนกลับเชิงลบเป็นความพยายาม ของร่างกายที่จะรักษาภาวะสมดุลของฮอร์โมน ซึ่งหมายความถึงการควบคุมระบบ (ในกรณีนี้คือระบบภายในของร่างกาย) เพื่อรักษาสถานะที่เสถียรและเหมาะสมอย่างสม่ำเสมอ
ต่อมไร้ท่อทั้งหมดทำงานในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง และในระดับที่แตกต่างกันผ่านวงจรป้อนกลับเชิงลบ ในกรณีของการรักษา ปัญหาอยู่ที่วงจรป้อนกลับเชิงลบของ HPTA เป็นหลัก
สิ่งที่น่ากังวลน่าในการทำ PCT
คือการรักษาความสมดล การฟื้นฟูการควบคุมฮอร์โมนทั้งห้าชนิดต่อไปนี้
- HPTA (hypothalamic-pituitary-adrenal axis)
- GnRH (gonadotropin-releasing hormone)
- LH (luteinizing hormone)
- FSH (follicle stimulating hormone)
- Testosterone
HPTA เริ่มต้นที่จุดแกนแรก ซึ่งคือไฮโปทาลามัส ซึ่งรับรู้ถึงความต้องการของร่างกายที่จะผลิต ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนเพิ่มขึ้น และปล่อย GnRH ในปริมาณที่แตกต่างกัน
GnRH เป็นฮอร์โมนที่ส่งสัญญาณไปยังจุดแกนถัดไป ซึ่งคือต่อมใต้สมอง เพื่อเริ่มผลิตและ ปล่อยฮอร์โมนโกนาโดโทรปิน(gonadotropins) สำคัญ 2 ชนิด (LH และ FSH)
LH และ FSH เป็นฮอร์โมนสองชนิดที่ทำหน้าที่ส่งสัญญาณ ไปยังแกนที่สาม ซึ่งก็คืออัณฑะ เพื่อเริ่มการผลิตและปล่อยฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน นี่เป็นขั้นตอนสุดท้ายใน การผลิตฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน(testosterone)ใน HPTA
มีปัจจัยฮอร์โมนหลัก 2 ประการที่ทำหน้าที่ยับยั้ง ลด กด หรือหยุดการผลิตฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนใน HPTA
- ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนส่วนเกิน
- เอสโตรเจนส่วนเกิน
ยังมีฮอร์โมนชนิดอื่นๆ เช่น โปรเจสติน(progestins)และโพรแลกติน(prolactin) ซึ่งมีบทบาทในการยับยั้งและกดการทำงานของ HPTA เช่นกัน แต่ฮอร์โมนเหล่านี้เป็น ฮอร์โมนที่ส่งผลต่อภาวะตั้งครรภ์หลักที่น่ากังวล เมื่อไฮโปทาลามัสรับรู้ระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน และหรือเอสโตรเจนที่มากเกินไปในร่างกาย (ไม่ว่าจะผ่านการใช้แอนโดรเจนจากภายนอกในรอบการใช้สเตียรอยด์อนาโบลิกหรือวิธีอื่นๆ) ไฮโปทาลามัสจะพยายามสร้างสมดุลโดยทำสิ่งที่ตรงข้ามกับสิ่งที่เราอธิบายไว้ก่อนหน้านี้
ไฮโปทาลามัสลดหรือหยุดการผลิต GnRH ซึ่งจะหยุดการผลิต LH และ FSH และสุดท้ายก็ลดหรือหยุดการผลิตฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน การผลิตฮอร์โมนส่งสัญญาณต่างๆ ภายใน HPTA จะไม่เริ่มต้นจนกว่าสภาพแวดล้อมของ ฮอร์โมนที่เหมาะสมในไฮโปทาลามัสจะกลับคืนมา และร่างกายมักต้องใช้เวลาหลายเดือนในการทำให้ กระบวนการนี้สำเร็จได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องมีสารกระตุ้นฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนเข้ามาแทรกแซง การฟื้นตัวของ HPTA จึงใช้เวลานานมาก โดยธรรมชาติ เนื่องมาจากการดำเนินการของ HPTA ที่อธิบายไว้
ความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับกลไกของ HPTA
และวงจรการทำงานด้านที่ไม่ดีจากคำอธิบายไว้ข้างต้น ถือเป็นสิ่งสำคัญในการทำ PCT เหตุใดจึงควรใช้โปรแกรมการฟื้นฟูหลังการใช้ยา (PCT) ที่เหมาะสมหลังจากการใช้สเตียรอยด์อนาโบลิกอย่างไร และทำไม เราจะรู้ได้อย่างไร อะไรทำให้การฟื้นตัวของ HPTA เป็นเรื่องยาก ปัจจัยเหล่านี้รวมถึงสิ่งต่อไปนี้ โดยไม่ได้จัดลำดับความสำคัญใดๆ
- ปฏิกิริยาของแต่ละบุคคล แต่ละบุคคลจะมีปฏิกิริยาแตกต่างกันไปต่อสารเคมี สารประกอบ สเตียรอยด์ อาหาร หรือยาต่างๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน บางคนอาจไม่พบว่า HPTA ถูกระงับหรือหยุดชะงักเลย ขณะที่บางคนอาจพบว่า HPTA ถูกระงับหรือหยุดชะงัก อย่างรุนแรงถึงขั้นต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์ นานกว่าคนส่วนใหญ่ เช่นเดียวกับสิ่งอื่นๆ ซึ่งมีบุคคลที่ ‘โชคดี’ ซึ่งสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย ในขณะที่บุคคลที่ ‘โชคร้าย’ ในอีกด้านหนึ่งของ ผู้ป่วยกลับประสบปัญหาในการฟื้นตัวหลังการรักษา สิ่งที่อยู่ระหว่างสองขั้วสุดขั้วนั้นคือค่าเฉลี่ย อีกครั้ง นี่เป็นผลจากการเขียนโปรแกรมทางพันธุกรรมของ แต่ละบุคคลเกี่ยวกับการตอบสนองของ HPTA และพยายามรักษาภาวะสมดุลภายใน
- ชนิดของสเตียรอยด์ที่ใช้ สเตียรอยด์อนาโบลิกทั้งหมดจะยับยั้งหรือบล็อก HPTA โดยผ่านกลไกของวงจรการฟื้นฟูอย่างไม่มีข้อยกเว้น เป็นที่ทราบกันว่าสเตียรอยด์ชนิดแอนาโบลิกหลาย ชนิดสามารถยับยั้งฤทธิ์ดังกล่าวได้เล็กน้อย ในขณะที่สเตียรอยด์ชนิดอื่นสามารถยับยั้งฤทธิ์ดังกล่าว ได้อย่างดี ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับเหตุผลหลายประการซึ่งส่วนใหญ่ เราจะไม่พูดถึงที่นี่ไม่ว่าในกรณีใดก็ตาม ไม่ว่าสเตียรอยด์อนาโบลิกจะยับยั้ง HPTA เล็กน้อยหรือรุนแรงเพียงใด หากใช้สเตียรอยด์อนาโบลิกทั้งหมด เป็นเวลานานติดต่อกันในรอบปกติ สเตียรอยด์ดังกล่าวจะหยุดการทำงานของ HPTA ในที่สุด หรืออย่างน้อยที่สุดก็จะยับยั้งกระบวน การส่งสัญญาณของฮอร์โมนอย่างมาก
- ความยาวของรอบ (ระดับการลดความไวของอัณฑะ) นี่อาจเป็นปัจจัยที่สำคัญและมีอิทธิพลที่สุด ยิ่งใช้สเตียรอยด์อนาโบลิกนานขึ้นเท่าไร เซลล์ Leydig ในอัณฑะส่วนใหญ่จะอยู่ในสภาวะสงบนิ่ง และไม่ได้ทำงานมากขึ้นเท่านั้น และยิ่งระยะเวลาที่เซลล์เนื้อเยื่อระหว่างเซลล์ อยู่ในสภาวะสงบนิ่งและไม่ได้ทำงานนานขึ้นเท่าไร การทำให้เซลล์เหล่านี้ตอบสนองต่อการกระตุ้นของ LH และ FSH อีกครั้งก็จะยากขึ้นเท่านั้น งานวิจัยแสดงให้เห็นว่าปัญหาในการฟื้นตัวของเซลล์ Leydig หลังจากการใช้สเตียรอยด์นั้นไม่ได้เกิดจากการขาด LH แต่เกิดจากเซลล์ Leydig ไม่ไวต่อ LH อีกต่อไป จากการศึกษากรณีหนึ่งซึ่งให้ผู้ชายได้รับ ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนจากภายนอกเป็นเวลา 21 สัปดาห์ พบว่าระดับ LH ลดลงในเวลาไม่นานหลังจากเริ่มการรักษา อย่างไรก็ตาม เมื่อสิ้นสุดระยะเวลา 21 สัปดาห์ และภายในสามสัปดาห์หลังจากหยุด การให้ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนจากภายนอก พบว่าระดับ LH เพิ่มสูงขึ้น แต่ในผู้ป่วยส่วนใหญ่ ระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน จะไม่เพิ่มขึ้นจนกระทั่งผ่านไปหลายสัปดาห์
สารกระตุ้นฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน 3 ชนิดหลักสำหรับการฟื้นตัวของ HPTA ระหว่าง PCT
ก่อนที่จะเจาะลึกรายละเอียดของสารกระตุ้นฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน ทั้งสามประเภทสำหรับการฟื้นตัวของฮอร์โมนระหว่าง การบำบัดหลังรอบการรักษา สิ่งสำคัญมากที่ผู้ใช้จะต้องเข้าใจคือ การใช้สารชนิดใดชนิดหนึ่ง ยกเว้นหนึ่งหรือสองชนิดนั้นไม่เพียงพอสำหรับ การฟื้นตัวของฮอร์โมนระหว่าง PCT
ในทางทฤษฎี โปรแกรมการบำบัดหลังการใช้ควรเป็นโปรแกรม PCT หลายส่วนประกอบที่รวมสารประกอบต่างๆ หลายชนิดที่ทำงานร่วมกันเพื่อให้การฟื้นตัวจาก HPTA มีประสิทธิภาพสูงสุดและรวดเร็วที่สุดหลัง การใช้สเตียรอยด์อนาโบลิก
สารประกอบทั้ง 3 ประเภทได้แก่
- ตัวปรับเปลี่ยนตัวรับเอสโตรเจนแบบเลือกสรร (SERMs)
- สารยับยั้งอะโรมาเทส(aromatase inhibitors)
- HCG (human chorionic gonadotropin)
SERMs
ยาในกลุ่ม SERM ได้แก่
- Nolvadex (tamoxifen citrate)
- Clomid (clomiphene citrate)
- Raloxifene, and Fareston (toremifene citrate)
ลักษณะของ SERM คือออกฤทธิ์ทั้งตัวกระตุ้นเอสโตรเจนและ ตัวต่อต้านเอสโตรเจนในร่างกาย ซึ่งหมายความว่า SERM สามารถปิดกั้นผลของเอสโตรเจนในระดับเซลล์เอสโตรเจนในส่วนอื่นๆ ของร่างกายได้ นี่อาจเป็นผลเชิงบวกหรือเชิงลบก็ได้ ตัวอย่างเช่น Nolvadex มีผลเอสโตรเจนในตับ ซึ่งโดยเจตนาและวัตถุประสงค์ทั้งหมดถือเป็นผลในเชิงบวก เนื่องจากผลของมันในตับทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เชิงบวกในคอเลสเตอรอล (ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายคนต้องการ)
SERM ทั้งหมดทำหน้าที่เป็นตัวต่อต้าน เอสโตรเจนที่บริเวณนี้ในระดับที่แตกต่างกัน โดยลดผลของเอสโตรเจนต่อเนื้อเยื่อเต้านม และลดหรือปิดกั้นผลข้างเคียงของภาวะไจเนโคมาสเตีย(gynecomastia) ในแง่ของผลของ SERM ต่อการกระตุ้นฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน ในร่างกาย พวกมันทำหน้าที่เป็นตัวต่อต้านเอสโตรเจน ในต่อมใต้สมอง ซึ่งจะกระตุ้นการหลั่งของ LH และ FSH
ระดับเอสโตรเจนที่สูงในผู้ชายสามารถและ ทำได้จริงในการยับยั้งการหลั่งฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน ในร่างกายผ่านวงจรป้อนกลับเชิงลบ ซึ่งนำไปสู่ภาวะฮอร์โมนเพศชายต่ำ สำหรับจุดประสงค์นี้ ควรเพิ่ม SERM ลงในโปรโตคอล PCT ใดๆ อย่างแน่นอน และไม่ควรยกเว้นภายใต้สถานการณ์ใดๆ ทั้งสิ้น อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม จุดเน้นไม่ควรอยู่ที่ SERM เพียงอย่างเดียว
สารยับยั้งอะโรมาเทส(Aromatase inhibitors)
ซึ่งรวมถึงสารประกอบต่างๆ เช่น
- Aromasin (Exemestane)
- Arimidex (Anastrozole)
- Letrozole (Femara)
สารยับยั้งอะโรมาเทส (AIs) ออกฤทธิ์เพื่อลดระดับเอสโตรเจนที่ไหลเวียนในร่างกายทั้งหมด โดยการยับยั้งเอนไซม์อะโรมาเทส ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่เปลี่ยนแอนโดรเจนเป็นเอสโตรเจน แทนที่จะไปปิดกั้นการทำงานของเอสโตรเจน ในระดับเซลล์ในเนื้อเยื่ออื่นๆ เมื่อแอนโดรเจนถูกแปลงเป็นเอสโตรเจน ระดับเอสโตรเจนจะมากเกินไป และตามที่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ในบทความนี้ วงจรเชิงลบจะเริ่มต้นขึ้น ส่งผลให้การผลิตฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนลดลง การลดระดับเอสโตรเจนในพลาสมาที่หมุนเวียนทั้งหมด จะทำให้วงจรป้อนกลับเชิงลบทำงานไปในทางบวก โดยทำให้มีการหลั่ง LH และ FSH เพื่อผลิตและ หลั่งฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนเพิ่มมากขึ้น
โดยพื้นฐานแล้วเป็นเพราะไฮโปทาลามัสรับรู้ว่าระดับ เอสโตรเจนในกระแสเลือดต่ำเกินไป จึงพยายามเพิ่มระดับเทสโทสเตอโรนในกระแสเลือด เพื่อให้เทสโทสเตอโรนที่หลั่งออกมาบางส่วน สามารถเปลี่ยนเส้นทางไปเป็นเอสโตรเจน เพื่อสร้างสมดุลของฮอร์โมน ความสำคัญอีกประการหนึ่งของสารยับยั้งอะโรมาเตส คือสามารถลดผลของเอสโตรเจนของ HCG ได้ อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องทราบว่าสารยับยั้งอะโรมาเทส ส่วนใหญ่ไม่ทำงานได้ดีกับ SERM เช่น Nolvadex และคุณจะต้องระบุอย่างชัดเจนว่าเลือกใช้สารยับยั้งอะโรมาเทส ชนิดใดระหว่าง PCT
Human chorionic gonadotropin (HCG)
ฮอร์โมนโกนาโดโทรปินในมนุษย์ส่วนใหญ่เป็น LH สังเคราะห์ เป็นฮอร์โมนโปรตีนที่ผลิตในปริมาณมากในสตรีมีครรภ์ และประกอบด้วยโปรตีนซับยูนิตเดียวกันกับ LH 100% ดังนั้นเมื่อให้กับผู้ชาย ฮอร์โมนนี้จะเลียนแบบการทำงานของ LH ในเนื้อเยื่อเป้าหมาย เช่น อัณฑะ ผลลัพธ์คือการเพิ่มการผลิตฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน ผ่านการกระตุ้นเซลล์ Leydig ด้วย HCG ไม่ควรใช้ HCG เพียงอย่างเดียว เพราะธรรมชาติของ HCG ในฐานะโกนาโดโทรปินทำให้ เกิดวงจรป้อนกลับเชิงลบ กล่าวคือ เมื่อใช้ HCG ต่อมใต้สมองจะหยุดหลั่ง LH จนกว่าจะหยุดใช้ HCG ดังนั้นต้องใช้ HCG ร่วมกับ SERM โดยเฉพาะสารยับยั้งอะโรมาเตส เนื่องจากได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถ เพิ่มกิจกรรมของอะโรมาเตสในอัณฑะ ส่งผลให้ระดับเอสโตรเจนสูงขึ้น
การรวมสิ่งต่างๆ เข้าด้วยกัน
คุณอาจสงสัยว่าควรเลือกสารประกอบใด จากสามหมวดหมู่ที่แสดงไว้ และควรใช้สารประกอบเหล่านั้นอย่างเหมาะสมอย่างไร คำตอบอยู่ที่การเข้าใจคุณสมบัติของสารประกอบแต่ละชนิด และวิธีใช้ให้มีประสิทธิภาพและเหมาะสม เราได้กล่าวไปแล้วว่าความยากลำบากในการฟื้นฟู HPTA หลังจากรอบการใช้สเตียรอยด์อนาโบลิกเป็นผลจากการลดความไวของเซลล์ Leydig
HCG เป็นอนาล็อกของ LH โดยพื้นฐานแล้ว อัณฑะที่ผ่านการใช้สเตียรอยด์อนาโบลิกเป็นเวลานาน จะลดความไวต่อ HCG เช่นเดียวกับ LH
HCG ซึ่งใช้ในลักษณะเฉพาะในช่วง 1-2 สัปดาห์แรกของ PCT ในปริมาณ 100-1,500 IU ทุก 2 วัน จะให้ปริมาณสูงแก่ลูกอัณฑะเพื่อให้เกิดผล “ช็อก” ต่อลูกอัณฑะและเพื่อรักษาผลช็อกนี้ไว้กับเซลล์ Leydig ในอัณฑะตลอด 1-2 สัปดาห์แรกของการบำบัดหลังรอบการรักษา อันที่จริง ประสิทธิภาพของ HCG สำหรับจุดประสงค์นี้ ได้รับการพิสูจน์แล้ว และแม้แต่ในทางคลินิกก็ยังมีการเสนอให้ใช้ HCG ในการรักษาภาวะฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนต่ำที่เกิดจาก การใช้สเตียรอยด์อนาโบลิก สอดคล้องกับแนวคิดนี้ สารประกอบอีกสองตัว (SERM และ AI) จะถูกใช้เป็นสารประกอบเสริมกับการใช้ HCG ในช่วงเวลา 1-2 สัปดาห์นี้ และหลังจากหยุดใช้ HCG ในช่วงต้นของ PCT จะมีการใช้เฉพาะ SERM เท่านั้นในการขับเคลื่อนกระบวนการฟื้นฟูฮอร์โมน แม้ว่าจะมีข่าวดีว่า HCG ช่วยฟื้นฟูฮอร์โมน แต่ยังมีปัญหาอีกสองประการที่ต้องแก้ไข
ความจริงที่ว่า HCG เพิ่มการผลิตอะโรมาเตสซึ่งทำให้ระดับเอสโตรเจนเพิ่มขึ้น
เมื่อหยุดการให้ HCG จะมีการผลิต LH และ FSH ในร่างกายน้อยลงเนื่องมาจากการให้จากภายนอก
Aromatase inhibitor: Aromasin (Exemestane)
ปัญหาแรกจากสองประเด็นที่เหลือที่ต้องได้รับ การแก้ไขคือข้อเท็จจริงที่ว่า HCG เพิ่มการแสดงออกของอะโรมาเตส ในอัณฑะและทำให้ระดับเอสโตรเจนในร่างกายเพิ่มขึ้น สิ่งสำคัญที่ต้องทราบด้วยก็คือ มันสามารถเพิ่มระดับโปรเจสเตอโรนในอัณฑะได้ ดังที่เราได้อธิบายไปแล้วว่าเอสโตรเจนจะ ไปยับยั้งการผลิตเทสโทสเตอโรนในร่างกาย ดังนั้นระดับเอสโตรเจนที่สูงจึงเป็นสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ในระหว่าง PCT และไม่มีข้อสงสัยใดๆ เลยว่าบุคคลนั้นๆ คงไม่อยากประสบกับ ผลข้างเคียงจากเอสโตรเจนในระหว่าง PCT ดังนั้นทางเลือกที่นี่คือการรวมสารยับยั้งอะโรมาเตส อย่างไรก็ตาม มีปัญหาใหญ่เกี่ยวกับสารยับยั้งอะโรมาเทส 3 ชนิดหลักอีก 2 ชนิด (Arimidex และ Letrozole) ปัญหาคือในโปรแกรม PCT ที่รวมถึงการใช้ SERM เช่น Nolvadex และ Clomid ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าเป็นส่วนประกอบที่จำเป็นอย่างยิ่งของโปรแกรม PCT Arimidex และ Letrozole จะมีปฏิสัมพันธ์เชิงลบโดยตรงกับ Nolvadex ปัญหาที่นี่คือ Arimidex (หรือ letrozole) และ Nolvadex จะถูกหักล้างกันโดยตรง การศึกษาหนึ่งแสดงให้เห็นว่าเมื่อใช้ Arimidex ร่วมกับ Nolvadex, Nolvadex จะลดความเข้มข้นของ Arimidex ในพลาสมา (และ Letrozole ซึ่งเป็นสารยับยั้งอะโรมาเทสที่ใช้กันทั่วไปอีกชนิดหนึ่ง) ประเด็นสำคัญคือการใช้ Nolvadex ร่วมกับ Arimidex หรือ Letrozole ถือเป็นแนวคิดที่แย่มาก และอาจเกิดผลเสียเมื่อใช้ร่วมกันในโปรโตคอล PCT ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า Aromasin ไม่เหมือนกับสารยับยั้งอะโรมาเทส อีกสองตัวที่กล่าวข้างต้น ไม่มีปฏิกิริยากับ Nolvadex เลย ดังนั้นจึงสามารถหลีกเลี่ยงปัญหานี้ได้อย่างสมบูรณ์ จากการศึกษาวิจัยหนึ่ง พบว่าอะโรมาซินไม่ได้แสดงผลลดลง หรือระดับพลาสมาลดลงเมื่อใช้ร่วมกับ Nolvadex
Clomid หรือ Nolvadex ฉันควรใช้ตัวไหน?
***นี่เป็นคำถามที่เราได้ยินบ่อย ๆ จากผู้ใช้สเตียรอยด์ครั้งแรก
ประการแรก การเติม HCG ที่ดีที่สุดในโปรโตคอล PCT คือ Nolvadex (tamoxifen citrate) การศึกษาวิจัยแสดงให้เห็นว่าการใช้ HCG และ Nolvadex ร่วมกันแสดงให้เห็นถึงการทำงานร่วมกันอย่างน่าทึ่งในแง่ของ การกระตุ้นการผลิตฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนภายในร่างกาย และ Nolvadex ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิผลใน การปิดกั้นผลการลดความไวของเซลล์ Leydig ในอัณฑะที่เกิดจาก HCG ในปริมาณสูง
สิ่งนี้มีความสำคัญมากเนื่องจากการหลั่ง LH น้อยเกินไปเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดการลดความไวต่อโกนาโดโทรปินได้ เช่นเดียวกับการกระตุ้นโกนาโดโทรปินมากเกินไป (HCG หรือรูปแบบอื่นๆ) ก็สามารถทำให้เกิดผลการลดความไวได้เช่นกัน
ประการที่สอง Nolvadex ไม่เพียงแต่มีประสิทธิภาพมากกว่า Clomid มากในการกระตุ้นการผลิตฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนภายในร่างกายเท่านั้น แต่ยังเป็นทางเลือกที่คุ้มต้นทุนมากกว่า Clomid เองอีกด้วย
การศึกษาวิจัยแสดงให้เห็นว่าการใช้ Clomid (clomiphene citrate) ในปริมาณ 150 มก. ต่อวันทำให้ระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนในร่างกาย ของผู้ชายสุขภาพดีจำนวน 10 คน เพิ่มขึ้นประมาณ 150% และนอกจากนี้ การใช้ Nolvadex (tamoxifen citrate) ในปริมาณ 20 มก. ต่อวันยังทำให้ระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนในร่างกายเพิ่มขึ้น ในปริมาณเดียวกันอีกด้วย
เป็นที่ชัดเจนมากว่า Clomid มีประสิทธิผลมากสำหรับจุดประสงค์นี้ แต่ Nolvadex ดูเหมือนจะเป็นทางเลือกที่คุ้มต้นทุนเนื่องจากมีราคา ถูกกว่าคลอมิดเมื่อเปรียบเทียบเป็นมิลลิกรัมต่อมิลลิกรัม ประโยชน์ของ Nolvadex เมื่อเทียบกับ Clomid ไม่ได้จบเพียงแค่นั้น Clomid เช่นเดียวกับNolvadex มีฤทธิ์ต้านเอสโตรเจนต่อต่อมใต้สมอง แต่จริงๆ แล้วClomidยังมีฤทธิ์กระตุ้นเอสโตรเจนต่อต่อมใต้สมองด้วยเช่นกัน สิ่งนี้หมายความว่า clomid ทำหน้าที่เป็นเอสโตรเจนในต่อมใต้สมอง ในระดับที่แตกต่างกัน โดยกระตุ้นวงจรป้อนกลับเชิงลบและ ลดการผลิตของฮอร์โมนโกนาโดโทรปินที่กระตุ้นฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน (LH และ FSH) นี่เป็นปัญหาที่ร้ายแรงมากในช่วงหลังการบำบัด ซึ่งเป็นช่วงที่ HPTA ไม่สามารถทำงานอีกต่อไปและกำลังพยายามฟื้นตัว ในทางความคิด คุณคงต้องการ SERM ที่มีผลต่อต้านเอสโตรเจนเกือบ 100% ต่อต่อมใต้สมอง และ Nolvadex ถือเป็นตัวเลือกที่สมบูรณ์แบบสำหรับสิ่งนี้ ในแง่ของขนาดยา Nolvadex ขนาดมาตรฐานเพื่อกระตุ้น PCT และการหลั่ง GnRH (gonadotropins), LH, FSH และสุดท้ายคือเทสโทสเตอโรน คือขนาดยา Nolvadex ธรรมดาที่ 20-40 มก. ต่อวัน
การศึกษาทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับปริมาณ Nolvadex ที่ใช้เพื่อกระตุ้นการผลิตฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนในร่างกาย ได้ใช้ Nolvadex เพียง 20 ถึง 40 มิลลิกรัมต่อวัน และ ในความเป็นจริง การเพิ่มปริมาณเป็นสองเท่าเป็น 40 มิลลิกรัมหรือมากกว่านั้น ได้แสดงให้เห็นว่าไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญในฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนในร่างกาย เหตุผลเดียวที่คนจำนวนมากใช้ Nolvadex 40 มก. ทุกวันในช่วงสัปดาห์แรกหรือสองสัปดาห์ของโปรแกรม PCT ก็คือเพื่อให้ถึงระดับพลาสมาสูงสุดที่เหมาะสมได้เร็วขึ้นเพื่อให้สามารถฟื้นฟู HPTA ได้เร็วขึ้น
⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐
**สินค้า ARIMIDEX**
➤ARIMIDEX Anastrozole 1mg
- medi 1mg x50t
- bp medical 1mg x30t
About Product :
- Very effective anti-estrogen agent. Reduces risk of gynecomastia from strong aromatizing steroids.
- It’s an impressive, effective Anti-Estrogen agent. It decreases the risk of gynecomastia from solid steroids.
- Arima 1 is indicated for the treatment of breast cancer in post menopausal women with hormone receptor positive or hormone receptor unknown locally advanced or metastatic breast cancer.
- Anazole is indicated for treatment of breast cancer in post-menopausal woman with hormone receptor-positive or hormone receptor unknown locally advanced or metastatic breast cancer.
Package Contents : 30/50 tablets, packed in blister
Dosage Form : 1 mg/Tab
Effective Dose : 1mg EOD.
Use for : Cycle Period
Reviews
There are no reviews yet.